โรคภูมิแพ้อากาศ ทำไมถึงแพ้ อาการและสาเหตุ?

354

อยู่ดีๆ ก็ จาม มีน้ำมูกไหล ทั้งที่ไม่ได้มีอาการของคนเป็นไข้หวัด บางครั้งอากาศร้อนแสนร้อน ก็ยังมีน้ำมูกไหลได้ มันเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายกันแน่ อาการเหล่านี้อาจจะไม่ได้อยู่กับเรานาน แต่ก็สามารถทำให้เรารู้สึกรำคาญ หงุดหงิดได้ อาการแบบนี้เรามักเรียกกันว่า อาการแพ้อากาศ หรือ โรคภูมิแพ้อากาศ

โรคภูมิแพ้อากาศ

โรคภูมิแพ้อากาศ หรือ โรคภูมิแพ้จมูก (Allergic Rhinitis) คือการมีปฎิกิริยาตอบสนองไวมากต่อสารก่อภูมิแพ้ เมื่อสารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกาย สารอิมมูโนโกลบูลินอี (Immunoglobulin E/IgE) ก็จะทำปฎิกิริยากับสารก่อภูมิแพ้ที่หายใจเข้าไป ส่งผลให้เซลล์ภายในจมูกแตกตัวและหลั่งสารออกมา ทำให้เกิดการอักเสบและมีอาการอื่นของโรคตามมา เช่น จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล เยื่อบุตาอักเสบ ไซนัสอักเสบ คออักเสบ สารก่อภูมิแพ้จมูกอาจเกิดจากเปลี่ยนแปลงของอากาศ ไม่ว่าจะอากาศร้อนหรืออากาศเย็น ความชื้นในอากาศ กลิ่นฉุน สิ่งระคายเคืองต่างๆ อย่าง ไรฝุ่น แมลงสาบ เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ น้ำหอม ควันธูป เป็นต้น จากการสำรวจพบว่า โรคภูมิแพ้มักพบในเด็กและวัยรุ่นมากว่า 80 % ของผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ และผู้ป่วยชาวไทยมักเป็นภูมิแพ้อากาศที่เกิดจากไรฝุ่น เป็นอันดับต้นๆ

โรคภูมิแพ้อาจเกิดจากพันธุกรรม ผู้ที่ครอบครัวมีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้อากาศจัดเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ได้ง่ายในทายาทรุ่นต่อๆไป และเกิดจากาสิ่งแวดล้อมที่มีสารก่อภูมิแพ้ การหลีกเลี่ยงสามารถช่วยลดอัตราการเป็นโรคนี้ได้เช่นกันคะ

โรคภูมิแพ้อากาศ อาจแบ่งได้ตามอาการได้ 4 ประเภท

  1. มีอาการเด่นทางน้ำมูก คือมีน้ำมูกใส จาม คันจมูก
  2. มีอาการคัดจมูกเป็นหลัก ไม่มีน้ำมูกหรือจาม
  3. มีอาการทั้งมีน้ำมูกใสและคัดจมูก
  4. มีอาการหลายๆอย่างเช่น ไอเรื้อรัง ซึ่งเกิดจากมีเสมหะไหลลงคอ มีอาการคันหัวตา ปวดศีรษะเรื้อรัง นอนกรน ปากแห้ง สำหรับกลุ่มนี้ แพทย์จะต้องมีความชำนาญในการวิเคราะห์

เราสามารถรักษาโรคภูมิแพ้อากาศได้ด้วยการหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้หรือสารก่อภูมิแพ้ ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เช่น ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ รวมถึงภาวะเครียดจะทำให้ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้มีอาการหนักขึ้น และหากมีอาการให้รีบพบแพทย์ทันที, การทานยาหรือพ่นยาทางจมูก เช่น ยาต้านฮีสตามิน (Antihistamine) ยาขยายหลอดลม ยาสเตียรอยดพ่นจมูก และการฉีดวัคซีนเพื่อรักษาโรคภูมิแพ้ เป็นการฉีดสารก่อภูมิแพ้เข้าไปในร่างกายโดยเริ่มจากปริมาณน้อยๆ และค่อยๆเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ จนร่างกายของผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้ชนิดนั้น การรักษาด้วยวิธีนี้ต้องรักษาต่อเนื่องนานกว่า 3-5 ปี โดยแพทย์เฉพาะทาง นอกจากนี้การฉีดวัคซีนมักกระทำให้ผู้ป่วยที่รักษาด้วยยาแล้วไม่หายหรือมีอาการแพ้ยา

สารภูมิแพ้ที่พบได้บ่อยมักอยู่รอบๆตัวเรา

  • ไรฝุ่น อาจเกิดจากมูลของไร หรือจากตัวไร เราควรจัดห้องให้โล่ง ไม่ควรมีพรม ตุ๊กตา หมั่นเปลี่ยนปลอกหมอน ผ้าม่าน ผ้าห่ม อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
  • สัตว์เลี้ยง ไม่ควรเลี้ยงสัตว์ที่มีขน เพราะสัตว์เหล่านี้จะมีการผลัดขนอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าอยากจะเลี้ยงไม่ควรนำเข้ามาเลี้ยงในตัวบ้าน รักษาความสะอาดให้กับสัตว์เลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ ควรใช้เครื่องดูดฝุ่นและเครื่องกรองอากาศ
  • แมลงสาบ ฝุ่นทีเกิดจากซากที่ตายแล้วของแมลงสาบและมูลของแมลสาบ เป็นสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ และเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหอบหืด มากกว่าสารที่มาจากตัวแมลสาบเองเสียอีก
  • เกสรพืช ไม่ควรนำดอกไม้สด ดอกไม้แห้งไว้ในบ้าน ควรปิดประตู หน้าต่างในช่วงที่มีการแพร่กระจายของเกสรดอกไม้มากๆ

อย่างก็ตามเมื่อเรารักษาอาการภูมิแพ้หายแล้ว ก็ยังสามารถกลับมาเป็นได้ตลอดเวลา เนื่องการผู้ป่วยไม่สามารถหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้หรือปัจจัยต่างที่ส่งเสริมให้เกิดภูมิแพ้ได้ง่ายและเร็วขึ้น อาจมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนได้บ่อย อย่าง ไซนัสอักเสบ (เกิดจากเยื่อบุจมูกบวม รูเปิดไซนัสตีบตัน ทำให้เกิดการอักเสบในไซนัส) หูชั้นกลางอักเสบ(เนื่องจากมีทางเชื่อมต่อระหว่างโพรงหลังจมูกกับหูชั้นกลาง ถ้าเกิดมีอาการภูมิแพ้เรื้อรังอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนในหู) และนอนกรน การดูแลสุขภาพตนเองอยู่ตลอดเวลา เป็นหนทางของการห่างไกลโรคภัยไข้เจ็บได้ดีคะ